โรคตับ

โรคตับ รู้ทันโรคก่อนที่จะนำไปสู่โรคมะเร็ง

โรคตับ เป็นภาวะที่เกิดขึ้นของโรคตับ ซึ่งเกิดจากการที่ตับได้รับความเสียหาย

โรคตับ การใช้ชีวิตที่เร่งรีบและแข่งขันกันในปัจจุบันนี้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าทำให้คนเราเจ็บป่วยกันง่ายขึ้น บ่อยขึ้น  โรคแปลกๆ เกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน กลายพันธุ์กันจนผลิตยารักษากันแทบไม่ทัน โรคบางอย่าง มาจากการใช้ชีวิตของมนุษย์เอง เช่น การดื่มสุรา การสูบบุหรี่ ความเครียด การพักผ่อนไม่เพียงพอ สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดโรคต่างๆ ตามมาได้อีกมากมาย เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคความดัน เป็นต้น และอีกโรคที่จะมองข้ามไปไม่ได้เลยก็คือ นั่นเอง ซึ่งในหัวข้อนี้เราจะพูดเกี่ยวกับ ผู้ป่วยส่วนใหญ่ มักเป็นกัน คือมะเร็งตับ และไวรัสตับอักเสบเอ บี และซี ซึ่งมีสาเหตุการติดเชื้อ และการรักษาที่แตกต่างกันไปตามชนิดของโรค

โรคมะเร็งตับ อาจจะเกิดจากเป็นมะเร็งจากตับโดยตรง หรือเกิดจากการที่ผู้ป่วย

เป็นมะเร็งส่วนอื่นๆ ในร่างกายแล้วลุกลามไปจนถึงตับ ส่วนใหญ่แล้วจะเกิดกับผู้ที่มีภาวะเสี่ยงในโรคอยู่แล้ว เช่น ผู้ที่ป่วยโรคไวรัสตับอักเสบ ผู้ที่ได้รับสารเคมีจากยาฆ่าแมลง เช่น ชาวไร่ชาวสวนทั้งหลายที่มีสารเคมีสะสมในร่างกายสูง หรือบางคนภูมิคุ้มกันในร่างกายตนเองต่ำก็มีโอกาสเกิดมะเร็งตับได้เช่นกัน รวมไปถึงนักดื่มแอลกอฮอล์ทั้งหลาย เหล่านี้คือผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงทั้งหมด

อาการ : ผู้ที่เป็นมะเร็งตับ จะทานอาหารได้น้อย หรือทานไปก็อาเจียนออกหมดน้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ มีอาการผื่นคันบนผิวหนัง เจ็บช่องท้องส่วนบน ลองคลำดูอาจมีก้อนเนื่องจากตับโต ผิวหนังและตาเหลือง อาการของดีซ่าน มีไข้ร่วมด้วย อ่อนเพลีย ไม่มีแรง

วิธีการรักษา : ในช่วงที่เพิ่งเริ่มเป็นนั้น เซลล์มะเร็งยังไม่โตมาก อาจมีขนาด 2-3 เซนติเมตร ยังสามารถรักษา ได้ด้วยการผ่าตัด แต่ส่วนใหญ่คนมักไม่รู้ ในช่วงเริ่มเป็นเนื่องจาก ยังไม่แสดงอาการ ให้เห็นมากนัก แต่เมื่อคลำพบความผิดปรกติ ว่ามีก้อนเนื้อนั้นก็ จะมีขนาดประมาณ 10 เซนติเมตร ช่วงนี้จะรักษา ให้หายขาดได้ยากแล้ว อย่างที่กล่าวตอนแรกในช่วงที่เซลล์มะเร็งยังเล็กเราสามารถใช้วิธีการผ่าตัดได้

แต่ถ้าหากใหญ่แล้ว อาจต้องใช้วิธีฉีดยาเข้าเส้นเลือดเพื่อให้เซลล์มะเร็งยุบตัวลง สรุปได้ว่าการรักษานั้นคือ การผ่าตัดเซลล์มะเร็งทิ้ง การผ่าตัดเพื่อเปลี่ยนตับ ซึ่งในส่วนนี้ต้องมีผู้ที่ บริจาคอวัยวะไว้แล้วเสียชีวิต และค่าของตับต้องเข้ากันกับผู้ป่วยด้วย จึงจะผ่าตัดเปลี่ยนได้ และสุดท้าย การใช้ความร้อนฆ่ามะเร็งที่ตับ

โรคตับที่เป็นไวรัสตับอักเสบเอ เกิดจากการติดเชื้อไวรัสชนิดเอ  สามารถรับเชื้อจากการ

รับประทานอาหารร่วมกันกับผู้ที่ติดเชื้อ การได้สัมผัสกับไวรัส การดื่มน้ำที่ไม่ถูกสุขลักษณะ ก็ทำให้เกิดการติดเชื้อไวรัสได้ หรือพฤติกรรมแบบชายรักชายก็มีโอกาสติดเชื้อได้สูงเช่นเดียวกัน ดังนั้น ควรรักษาสุขอนามัยให้ดี เช่น การล้างมือให้สะอาดก่อนหยิบจับอาหาร

  อาการ : อาการของผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ จะมีตั้งแต่น้อยที่สุด ไปจนถึงรุนแรงที่สุด อาจกลายเป็นมะเร็งตับ ท้องผูกหรือท้องร่วง จะแสดงอาการคือมีไข้ต่ำๆ ไอ และมีอาการเจ็บคอร่วมด้วย ไม่อยากทานอาหาร มีผื่นคันบริเวณผิวหนัง ปวดในช่องท้อง ปวดตามข้อและกล้ามเนื้อ ไม่มีแรง และหากเข้าขั้นรุ่นแรงจะเกิดอาการหงุดหงิดง่าย ความจำสั้น มีปัญหาเกี่ยวกับความจำ อาเจียนกะทันหัน มีเลือดออกง่าย เช่น เลือดกำเดา เลือดออกตามไรฟัน ผิวเป็นจ้ำเลือด นั่นแสดงว่าไวรัสได้แพร่กระจายจนส่งผลให้เกิดอาการออกมา

วิธีการรักษา : ปัจจุบัน ยังไม่มีการรักษาไวรัสตับอักเสบเอให้หายขาดได้ ส่วนใหญ่จะรักษาตามอาการ หากไม่มีภาวะแทรกซ้อนใดๆ ผู้ป่วยจะสามารถฟื้นตัวได้เอง แต่ต้องติดตามอาการเป็นระยะ ผู้ป่วยไม่ควรดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิดเพราะจะทำให้ตับเกิดความเครียดและต้องทำงานหนัก ทำให้อาการยิ่งทรุดลง หากมีไข้ ให้ทานยาลดไข้เหมือนกับการทานยาลดไข้ในอาการป่วยทั่วไป หากมีผื่นคัน ให้สวมใส่เสื้อผ้าที่ระบายความร้อนได้ดี ไม่คับจนเกินไป เพื่อไม่ให้เสื้อผ้าเสียดสีกับผิวหนังมาก สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการอาเจียนมากๆ ทำให้เกิดการร่างกายขาดน้ำ ให้ดื่มเกลือแร่เพื่อชดเชยน้ำที่สูญเสียไป นอนหลับ พักผ่อนมากๆ เพื่อลดความอ่อนเพลีย โรคตับ

โรคตับ ที่ทำให้เป็นไวรัสตับอักเสบบี เกิดจากการติดเชื้อไวรัสชนิดบี เกิดโดยการติดเชื้อจาก

สารน้ำคัดหลั่งต่างๆ เช่น เลือด น้ำเหลือง น้ำเชื้อ ดังนั้นผู้ที่จะอยู่ในกลุ่มเสี่ยงติดเชื้อก็คือ ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน การใช้เข็มสักหรือเจาะหูร่วมกัน การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน และถ้าแม่มีเชื้อของไวรัสตับอักเสบบีอยู่ เมื่อคลอดลูก ลูกจะมีโอกาสติดเชื้อถึง 90% เลยทีเดียว แต่ไม่ติดจากการรับทานอาหารร่วมกัน

อาการ : อาการของผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี จะมี 2 ระยะ คือ ระยะเฉียบพลัน และระยะเรื้อรัง สำหรับแบบเรื้อรังจะพบมากในเด็กที่ได้รับเชื้อตั้งแต่แรกคลอดจากมารดา สำหรับผู้ที่เป็นระยะเฉียบพลันคือเกิดอาการหลังได้รับเชื้อตั้งแต่ 1-4 เดือน จะมีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง คลื่นไส้ อาเจียน ป้องท้องใต้ชายโครงด้านขวา เบื่ออาหาร น้ำหนักลด และหากเป็นขั้นรุนแรงแล้วไม่ได้เข้ารับการรักษา

อาจเกิดภาวะตับวายได้ หากรักษาตามอาการแล้ว จะสามารถฟื้นตัวได้ภายใน 1 เดือน หากสามารถควบคุมเชื้อได้ แต่ก็มีผู้ป่วยส่วนน้อยบางรายที่ไม่สามารถควบคุมและกำจัดเชื้อได้หมด ต้องคอยติดตามอาการเพื่อรักษากันเป็นระยะ แบบนี้จะกลายเป็นระยะเรื้อรัง สำหรับผู้ป่วยในระยะเรื้อรัง จะแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกคือเป็นพาหะ เมื่อได้รับเชื้อในร่างกายแล้ว ไม่แสดงอาการ แต่สามารถแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นได้

ดังนั้นคู่รักที่จะแต่งงาน ควรตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบีก่อน สำหรับกลุ่มที่ 2 คือผู้ป่วยที่ไม่สามารถควบคุม และไม่สามารถกำจัดเชื้อไวรัสออกจากร่างกายให้หมดได้ เมื่อตรวจพบว่าค่าตับผิดปรกติ ก็ต้องทำการรักษาตามอาการกันต่อไป

วิธีการรักษา: ผู้ป่วยจะได้รับยาตามที่แพทย์วินิจฉัยว่า เหมาะสมกับอาการของโรค ซึ่งแพทย์จะชี้แจงสาเหตุ ข้อดี ข้อเสีย ของการต้องใช้ยาแต่ละตัว เพื่อให้ผู้ป่วยมีการตัดสินใจร่วมด้วย สำหรับผู้ป่วยระยะเรื้อรัง ยังไม่ต้องรับยาสำหรับต้านไวรัส แต่ต้องเข้ารับการรักษาเพื่อประเมินอาการทุก 3-6 เดือน

โรคไวรัสตับอักเสบซี เกิดจากการติดเชื้อไวรัสชนิดซี

ซึ่งติดได้จากการมีเพศสัมพันธ์และทางเลือด ใกล้เคียงกับการติดเชื้อของไวรัสบี แต่ไม่ติดจากการทานอาหารร่วมกัน และไม่ติดจากการไอหรือจามรดกัน

อาการ : อาการโดยทั่วไปก็จะคล้ายกับการติดเชื้อไวรัสตับตัวอื่นๆ คือ ตัวเหลือง ตาเหลือง อาเจียน น้ำหนักลด อ่อนเพลียน ปวดช่องท้อง ปวดข้อ แต่อาการของไวรัสตับอักเสบซีจะต่างจากไวรัสตัวอื่นคือ เมื่อผู้ป่วยได้รับเชื้อแล้วเชื้อจะฝังอยุ่ในร่างกายนับสิบปี กว่าจะออกอาการให้เห็นก็ประมาณปีที่ 12 ขึ้นไป และหากผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษา ก็จะพัฒนากลายไปเป็นตับแข็ง ลุกลามไปเป็นมะเร็งตับ และอาจเสียชีวิตในที่สุด

วิธีการรักษา : แพทย์จะพิจารณาให้การรักษาและยาตามอาการ โดยหากพบว่ามีค่าไวรัสตับผิดปกติ จะนัดมาเจาะเลือดอีกครั้งภายใน 6-12 เดือน แต่ถ้าเป็นเด็กที่ติดเชื้อตอนคลอดจากมารดา ในช่วง 6-12 เดือนยังตรวจหาค่าไม่ได้ แพทย์จะตรวจหลังจาก 18 เดือนไปแล้วเท่านั้น

จะเห็นได้ว่าการติดไวรัสต่างๆ นั้นสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากพฤติกรรม ของตัวผู้ป่วยเองทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการรักษาความสะอาด ต้องล้างมือบ่อยๆ เพราะเมื่อมือสัมผัสเชื้อแล้ว มาหยิบจับอาหารทานจะทำ ให้ได้รับเชื้อทางตรง รวมทั้งการมีเพศสัมพันธ์ แบบไม่ป้องกันก็ทำ ให้ได้รับเชื้อได้เช่นกัน

ที่สำคัญการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีผลต่อตับเป็นอย่างมาก ทำให้ตับเกิดภาวะเครียด ลดและควบคุมเชื้อไวรัสได้ยาก ที่สำคัญหากไวรัสทำลายตับ จนกลายเป็นตับแข็ง และเป็นมะเร็ง โอกาสของผู้ป่วยมีน้อยมาก ควรรักษาสุขภาพ ให้แข็งแรงอยู่เสมอ หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ และรักษาสุขอนามัย ส่วนบุคคลให้ดี รวมทั้งไม่ใช้สิ่งของที่สุ่มเสี่ยงต่อ การติดเชื้อร่วมกับผู้อื่น จะสามารถป้องกันได้อีกทาง